Meeting 18 Feb 2025

Last updated: 25 ก.พ. 2568  |  74 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Meeting 18 Feb 2025

เล็คเชอร์พี่แก้มแหม่ม อังคารที่ 18.12.68 ( โดยคุณเจี๊ยบ)

พี่แก้มแหม่มทบทวนความสำคัญของการสวด Geeta Path

กว่าเราจะเติบโตมาจนถึงวันนี้ เราได้รับข้อมูลหลายหลากมากมาย ทั้งแง่ลบ และแง่บวก สมองก็ทำหน้าที่แปลความหมายแล้วบันทึกลงไปใต้จิตสำนึก(สัญญาขันธ์-Data Bank)ทันที หากข้อมูลที่บันทึกลงไปเป็นแง่ลบมากกว่าแง่บวก จิตใต้สำนึกของเราก็จะแปรเปลี่ยนจากน้ำใสซึ่งเป็นสภาวะของจิตเดิมแท้ กลายเป็นน้ำขุ่นและอาจจะกลายเป็นน้ำครำในที่สุด สังเกตดูว่าเวลาเราบอกว่า “ไม่อยาก” มากเท่าไร เรากลับยิ่งทำในสิ่งตรงกันข้าม เช่น ไม่อยากโกรธ เรายิ่งโกรธ ไม่อยากกิน เรายิ่งกินมากเท่านั้น เพราะเราถูกจิตใต้สำนึกเป็นตัวบงการ ดังนั้น ถ้าเราพูดกับตัวเองในแง่ลบ เท่ากับเราไปสร้างให้ชีวิตของเรายิ่งลบเข้าไปใหญ่ เราจึงต้องทำงานกับจิตใต้สำนึกของตัวเราด้วยการใส่ข้อมูลเชิงบวก เข้าไปด้วยคำพูดที่ดีงาม ซึ่งจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจิตใต้สำนึกของเราให้กลายเป็นน้ำใสขึ้นมาได้ในที่สุด แต่เราจะต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะพูดกับจิตใต้สำนึกของเราจนข้อมูลด้านลบของเราลดลงไปได้ และขอให้รู้ว่าสัญญาขันธ์ไม่ได้อยู่เป็นส่วนหนึ่งในสมองเท่านั้น แต่สถิตอยู่ทุกแห่งหนและทุกตัวเซลล์ในตัวเรา

จิตใต้สำนึกของเรานั้นมีความมหัศจรรย์มาก มันสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ทุกอย่าง การสวด GEETA Path บทที่ 12 ซึ่งเป็นบทหัวใจของภควัทคีตา แม้ว่าจะเป็นภาษาสันสกฤต แต่จิตใต้สำนึกของเราก็แปลข้อมูลได้อย่างเป็นอัตโนมัติ เวลาเราสวด GEETA PATH เป็นการเติมน้ำใสลงไปในอ่างน้ำที่สกปรกทีละหยดใหญ่ ๆ ทีละหยด ๆ วันหนึ่งเมื่อน้ำที่สกปรกถูกทดแทนด้วยน้ำสะอาด ข้อมูลลบก็จะจางลงไป ๆ จนที่สุดน้ำก็กลับสู่สภาพใสบริสุทธ์ได้ เมื่อจิตใต้สำนึกของเรากลับเป็นน้ำใส บารมีของเราเต็มเปี่ยม จึงเป็นทางลัดในการกลับไปสู่ต้นกำเนิดของเรา ในขณะที่การไปวัด เดินจงกรม ฝึกอาณาปาณสติ เป็นการพยายามฝึกสมองของเราให้เชื่อง ให้สงบจากความฟุ้งซ่านประจำวัน  ด้วยการวิรัติ หรือ จำกัดตัวเองด้วยอายตนะต่าง ๆ เราจะเห็นจิตเราใสอย่างที่ในเวลาปกติอาจจะไม่เคยเห็นเลย อย่างไรก็ตาม สภาวะนี่ก็มักจะเกิดได้เฉพาะเวลาที่เราได้มีการควบคุมต่อเนื่องอย่างเข้มข้นแต่เมื่อเราออก มาโลดแล่นในโลกภายนอก จิตเราก็จะกระเพื่อม การที่เราจะประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนให้เรามีสติรู้เท่าทันกับทางโลก พร้อม ๆ ไปกับการลบข้อมูลด้านลบออกจาก Data Bank ของเรา เราก็จะมีแต่ข้อมูลด้านบวก

ในพระพุทธศาสนาก็มีคำสอนย้ำถึงในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติอยู่กับปัจจุบัน เมื่อบรรลุถึงสภาวะหนึ่ง เราจะเกิดการรู้เท่าทัน เห็นการทำงานของสังขารปรุงแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยข้อมูลเดิมในสัญญาของเรา เมื่อใส่ข้อมูลใหม่ลงไป มันจะไปประมวลผลรวมกับข้อมูลเดิม สังขารเกิดการปรุงแต่งทันที และเก็บเข้าไปในสัญญาตามข้อมูลที่ประมวลผลซึ่งมักจะผิดเพี้ยนไปตามความลำเอียงหรืออคติที่ฝังอยู่ในจิตใจ ไม่ได้เกิดจากข้อมูลที่ถูกต้องจากจิตใต้สำนึกที่ใสสะอาด การนำข้อมูลใหม่ที่ดีงามไปไล่แทนที่ข้อมูลเดิมออก จิตใต้สำนึกของเราก็จะทรงพลังในทางสร้างสรร การเริ่มต้นด้วยการสวด GEETA PATH บทที่ 12 จึงถือว่าเป็นคาถาที่ทรงพลัง 108 ประการ เป็นหัวใจของภควัตคีตา ไม่ว่าเราสวดในใจเราหรือเราสวดเสียงดัง แม้ว่าอานิสงส์จะได้กับตัวเราเองเป็นสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการส่งคลื่นพลังที่เป็นพรอันประเสริฐไปให้สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดอกไม้ ใบหญ้า สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหมือนการแผ่เมตตาอีกด้วย

วันนี้เป็นการถามตอบ

เจี๊ยบเล็ก : มีความผูกพันกับภควัตคีตา ได้ยินก็ชอบแล้ว อยากถามว่า ศาสนาฮินดูมีเทพ 3 องค์เป็นหลักคือ พระศิวะ พระพรหม พระวิษณุ แล้วทำไมพระอาจารย์ของพี่แก้มแหม่ม ถึงยกย่องแต่องค์พระกฤษณะ และภควัตคีตา

พี่แก้มแหม่ม :  คนไทยมองว่าท่านเป็นเทพ 3 องค์ แต่ทั้ง 3 องค์ท่านเป็นเจ้าแห่งจักรวาล ที่ต่างมีสภาวธรรมที่ทรงอำนาจคนละหน้าที่ แต่เป็นองค์เดียวกัน อันเป็นพลังที่อยู่เบื้องหลังการเป็นอยู่และมีอยู่ ของจักรวาล โดยแตกต่างกันเป็น 3 ภาคของพลังเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการ”เกิดขึ้น”  “ตั้งอยู่” และ “ดับไป”  ของกฎแห่งไตรลักษณ์ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลแห่งโลกบัญญัตินี้  การที่เรามองท่านต่างกัน ก็เหมือนกับการที่เราตั้งคำถามกับคน 3 คนว่า น้ำตาลกรวดมีลักษณะอย่างไร คนหนึ่งบอกว่า น้ำตาลกรวดต้องมีคุณลักษณะของการมีรสหวาน คนหนึ่งบอกว่ามีคุณลักษณะที่แข็งเหมือนหิน คนหนึ่งบอกว่ามีคุณลักษณะที่เป็นสีขาว ทั้ง 3 คำตอนนั้นแม้จะแตกต่างกัน แต่ก็ถูกทุกข้อ ต่างก็เป็น 3 คุณลักษณะของน้ำตาลกรวดด้วยกันทั้งนั้น การแสดงออกใน 3 คุณลักษณะของพระเจ้า เพื่อให้เห็นว่า พลังของการ “เกิดขึ้น” คือ พลังของพระพรหม พลังที่เติบโต คือ พลังของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ และพลังของการเสื่อม คือ พระศิวะ นี่เป็นการแสดงธรรมของ The Source ที่มอบให้ทุกสิ่งในจักรวาล แต่ว่า The Source เองไม่มีสภาวะการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ดังนั้น ถ้าบอกว่าท่านคือองค์เดียวกันหรือไม่ ก็ให้นึกถึงน้ำ ที่มีโมเลกุล คือ H2O แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะที่เป็นน้ำเดือด ไอน้ำ น้ำแข็ง น้ำตา เหงื่อ น้ำตก เมฆ ก็ยังเป็น H2O อยู่ดี เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่สภาวะต่างหากที่เปลี่ยนไป ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดก็มาจากสิ่งเดียวกัน มีต้นกำเนิดเดียวกัน

สัญลักษณ์ในการบูชาพระศิวะ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าศิวลึงก์ เป็นรูปพรรณสัณฐานขององคชาติ แต่จริง ๆ แล้วเปรียบได้กับเศียรหรือหัวของเราต่างหาก ดั่งเช่นสมองที่เป็นสิ่งสูงสุดในร่างกายเรา เป็นหอบัญชาการคอยควบคุมการสั่งการ ตัวเราเกิดขึ้นตั้งอยู่และเสื่อมไป ตามมาจากการสั่งการของสมอง ในโลกนี้จึงมีการเกิด การเติบโต แล้วก็กลับมาสู่ความเสื่อมอย่างเลี่ยงไม่ได้ นักเศรษฐศาสตร์จึงหาทางออกด้วยการพยายามสร้าง Parabola ซ้อน Parabola เพื่อรักษาประคองระดับยอดของความเจริญและการตั้งอยู่ให้ยาวนานที่สุด แต่ไม่ว่าจะพยายามรักษาความเจริญไว้อย่างไร หรือจะพยายามสร้างอะไรขึ้นมาซ้อนทับ แต่สุดท้ายก็จะกลับไปสู่ความเสื่อมอยู่ดี ไม่มีอะไรที่ดีถ่ายเดียว มันจะต้องมีความเสื่อมเป็นส่วหนึ่งของการรักษาสมดุลเสมอ

ทำไมพระอาจารย์ย้ำแต่พระกฤษณะอย่างเดียว,,,,,เพราะว่าพระกฤษณะเป็นอวตารเดียวที่มาในโลกมนุษย์แบบเต็มร้อย พระเจ้า(the Source)ทรงพลังแค่ไหน พระกฤษณะก็ทรงพลังเช่นนั้น สามารถขโมยเนยได้โดยไม่บาป สามารถทำสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ แต่อวตารภาคอื่นๆ จะมีวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เช่น พระรามอวตารมาเพื่อเป็นตัวอย่างของการดำรงชีวิตว่าการเป็นกษัตริย์ที่ดีเป็นอย่างไร ผู้ปกครองที่ดีเป็นอย่างไร เป็นสามีที่ดีเป็นอย่างไร เป็นพี่ที่ดีเป็นอย่างไร ฯลฯ รามเกียรติ ในสายตามนุษย์อย่างเราจึงอาจจะไม่โดนใจเพราะดูเป็นวรรณกรรมที่ไม่ได้ happy ending แต่เต็มไปด้วยความทุกข์บาดใจอันเนื่องมาจาก conflict อันเป็นเรื่องราวที่เป็นความขัดแย้งเช่น พระรามในฐานะกษัตริย์ที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดี มีหน้าที่ต้องดูแลให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง  เมื่อทราบถึงความคิดขัดข้องใจของประชาชนในเรื่องความบริสุทธิ์ของพระแม่สีดา พระรามต้องสละความเป็นสามีและพ่อที่ดี สั่งพระลักษณ์พาพระแม่สีดาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ไปอยู่ป่า อันเป็นการตัดสสินใจของพระรามที่ท่านต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ประชาราษฎร์ของอาณาจักร  เหมือนกันกับคนธรรมดาที่ว่าทุกข์ที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ เกิดขึ้นเมื่อเราต้องเจอ conflict เราไม่สามารถเลือกได้ทุกอย่างที่ปรารถนาได้ อวตารภาคต่าง ๆ ของพระวิษณุก็เพื่อที่จะมาแก้ปมปัญหาแต่ละเรื่องที่แตกต่างกันไป

แต่ทุกวันนี้ เราถูกทำให้อยู่ห่างจากพลังสูงสุด ที่อยู่เบื้องหลังการมีอยู่และการเป็นอยู่ของสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล  ด้วยการบูชาสายมูที่ทำให้เราเข้าไม่ถึงหัวใจของการหลุดพ้น ในขณะที่นักการทูต นักการค้า นักการปกครอง นักการเมือง ฯลฯ ที่ต่างมักจะใช้คำสอนในศาสนาเป็นเครื่องมือ ก็จะเลือกหยิบคำสอนเฉพาะส่วนเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์แอบแฝงเฉพาะกาลของตนเองหรือพรรคพวก

สมัยที่พี่แก้มแหม่มเรียนมหาวิทยาลัย สวนโมกข์มาแรงที่สุด มีคำสอนที่อยู่ในแระแสยอดนิยมคือเรื่อง “ทุกสิ่งคือสุญญตา และนิพพาน คือ สุญญตา” ตามหลักความเชื่อของเซน อย่างที่มีความเชื่อและเลื่อมใสกันอยู่ ณ ขณะนั้น แต่สังเกตเถอะว่า อย่างที่คนโบราณจะมีคำพูดหนึ่งว่า “คนที่รู้จริงจะไม่พูด ส่วนคนที่พูดคือ คนที่ไม่รู้จริง” (He who knows tells not; he who tells know not!” เหมือนกับคนที่ไม่เคยกิน “เป๊บซี่” ไม่ว่าจะมีใครที่เคยกินมาก่อน ช่วยอธิยายอย่างไร เธอผู้นั้นก็ไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ ว่า”เป๊บซี่” มีรสชาติอย่างไร ฉันใดฉันนั้น  “นิพพาน” เป็นสถานะที่อยู่เหนือโลกบัญญัติ จะเอาอะไรในโลกบัญญัติมาอธิบายหรือมาเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ใกล้เคียง ได้อย่างไร

เวลาที่เราศึกษาภควัตคีตา พระอาจารย์จึงให้เราทุกคนหันมาศึกษาเพื่อให้สามารถเข้าใจและเข้าถึงคำสอนที่ศาสดาองค์นั้น ๆ ของศาสนาที่เรานับถือ ได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราเป็นสาวกที่ดีกว่าเดิมในศาสนาของตนเอง ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนศาสนา ต่อมาเมื่อพี่แก้มแหม่มได้อ่านหนังสือมากขึ้น มีทั้งหนังสือของท่านอาจารย์โยคนันทะ ประวัติพระอาจารย์มั่น ประวัติท่านมิราเลปะ ฯลฯ ก็ขยายความรู้เกี่ยวกับนิพพานได้กว้างขวางขึ้น หลายปีต่อมา พอได้อ่าน “คู่มือมนุษย์” ของท่านพุทธทาส จึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว ท่านไม่ได้พูดแบบที่ว่า เมื่อบรรลุนิพพานแล้วคือเข้าสู่สภาวะที่เป็นสูญหรือสูญญตา  บางทีสาวกฟังด้วยความไม่เข้าใจ แม้มีเจตนาบริสุทธิ์ ที่นำคำสอนที่ได้ฟังมา มาส่งต่อ โดยทำให้คำสอนเปลี่ยนแปลงไป กลับกลายเป็นการสร้างความสับสนหลงทางมากขึ้นได้ ในหนังสือคู่มือมนุษย์ ท่านพุทธทาสได้สอนว่า ขันธ์ 5 คือ สุญญาตา สิ่งที่มันสูญไปเมื่อมีการบรรลุนิพานก็คือตัวตนของเรานั่นเอง

คำสอนของศาสนา จริง ๆ แล้วไม่มีการแบ่งแยก แต่ถูกนำมาแบ่งแยกเมื่อสาวกนำมาใช้เพื่อหาสมาชิกเข้ามาในลัทธิ ในโบสถ์ของเรา ไม่แตกต่างกันการล่าอาณานิคม อากัปกิริยาเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับเจตนารมณ์ว่าเราทำเพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อให้คนได้รับสัจธรรมมากขึ้น เกิด Unity ให้คนเข้าใจมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ดี ยกตัวอย่างเรื่องที่ว่าแต่ละศาสนาสอนไม่ต่างกัน เช่น ศาสนาคริสต์สอนให้รักเพื่อนบ้านของคุณเหมือนกับที่รักตัวเอง ดังนั้น หากใครทำได้เช่นนั้นเต็มร้อย ลูกของเขาก็ไม่ต่างกับลูกของเรา ตัวเขากับตัวเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันไปโดยอัตโนมัติ เหมือนในพุทธศาสนาสอนว่า ไม่มีตัวกูของกู ในเมื่อตัวตนของเราไม่มี ถ้าเราไม่มีตัวตนเสียแล้ว ลูกเขาและลูกเราก็ต้องไม่มีความแตกต่าง  ลูกใครก็เหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน

พระกฤษณะ ท่านอวตารมาเต็มร้อยเพื่อให้มนุษย์ได้เห็นว่าโลกมนุษย์มีอะไรมากกว่าที่เห็น ดังนั้น คำสอนของพระองค์ 700 โศลก ในคัมภีร์ภควัทคีตา จึงถูกส่งต่อมาตั้งแต่เมื่อ 5000 ปี โดยไม่มีการถูกดัดแปลงหรือสอดแทรกคำสอนจากความคิดของมนุษย์ปุถุชนเข้าไป เทพเจ้าทุกพระองค์ ก็ล้วนเป็น aspect ของพระกฤษณะทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ใครระลึกถึงท่าน ก็เท่ากับได้บูชาเทพที่อยู่ในภาคต่าง ๆ ทุกพระองค์เช่นเดียวกัน

คำสอนใน Geeta บทที่ 12 ช่วยทำให้เห็นว่า มนุษย์สามารถกลับไปหา source หรือพลังสูงสุดที่เป็นต้นกำเนิดของเราได้ ด้วยการบูชารูปเคารพด้วยความศรัทธา หรือบูชาด้วยความศรัทธาในคุณสมบัติของพระเจ้าในภาค(Aspect)ของสิ่งสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังการมีอยู่และการเป็นอยู่ของชีวิตและทุกสิ่งในจักรวาล

คุณโอ๋:  พระศิวะ พระพรหม และพระนารายณ์ เป็นภาคต่าง ๆ ของแหล่งพลังงานเดียวกัน และการที่พระอาจารย์ยกย่องพระกฤษณะเพราะท่านแสดงแสนยานุภาพครบทุกมิติ ซึ่งท่านเป็นอวตารของพระนารายณ์ และพระนารายณ์ก็เป็นแหล่งพลังงานเดียวกันกับพระศิวะ และพระพรหม

พี่แก้มแหม่ม : ยกตัวอย่าง ดอกกุหลาบสำคัญที่ชื่อเรียก หรือว่าที่คุณสมบัติ ถ้าเรียกว่าดอกกุหลาบ แต่มีคุณสมบัติของดอกอุตพิต คนก็คงจะไม่ซื้อมาปักไว้ในแจกัน หรือให้เป็นของขวัญแทนความรักแก่กันและกัน เพียงเพราะมีชื่อเรียกว่า “ดอกกุหลาบ” ในทางกลับกัน หากมีดอกไม้ที่ถูกเรียกชื่อว่า “ดอกอุตพิต” แต่มีกลีบที่สวยงามและมีความหอมแบบกุหลาบ ต่อให้ชื่อว่าดอกอุตพิต คนก็จะซื้อไปอยู่ดี เพราะเขาซื้อที่คุณสมบัติที่เขาชอบและชื่นชม

คำสอนในศาสนาที่ส่งต่อกันมา ลองสังเกตดูสิว่าหนึ่งคนพูด สิบคนฟัง การนำไปสอนต่อก็จะนำไปแต่ส่วนที่เราเข้าใจ และแต่ละคนอาจจะเข้าใจไปคนละประเด็นกัน แต่หัวใจสำคัญ คือ ปัญญาที่แท้จริงอยู่ข้างในของผู้แสวงหาธรรม ปัญญาทางธรรมะ มาจากการได้ยิน ได้ฟัง และเราจึงสอนตัวเราได้จากการพิจารณา ความคิดที่บริสุทธิ์ที่เกิดจากการได้ล้างกำจัดทิ้งซึ่งข้อมูลลบที่เป็นมูลเหตุให้เกิดความฟุ้งซ่านวุ่นวายในชีวิต มีส่วนทำให้เราถึง “บางอ้อ” ได้ง่ายขึ้น เพราะความคิดเป็นส่วนหนึ่งของสังขาร ซึ่งเป็น application ในการประมวลผล ส่วนใหญ่แล้ว Apps ไม่ได้มีอะไรที่เป็นตัวปัญหา สิ่งที่สร้างปัญหาเกิดขึ้นที่ข้อมูล อยู่ที่ว่าเราหยิบข้อมูลอะไรมาประมวลผลมากกว่า

ภาษาก็มีส่วนกระทบต่อมุมมองขอเราต่อสิ่งต่าง ๆ ดังเช่น เวลาที่เราพูดว่า the source, the pure consciousness ดูเป็น conceptเกี่ยวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นที่อยู่เบื้องหบังการมีอยู่และเป็นอยู่ของชีวิต ที่เรารับได้ในการมองหรือรับรู้ “ตัวตนและรูปแบบ”ของพระเจ้าในรูปฟอร์มนั้น แต่บางครั้ง ถ้าเราพูดว่าปรมาตมัน อาจทำให้เรามีความกลัวขึ้นมาเพราะเคยถูกปลูกฝังเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ทรงคุณค่าเกี่ยวกับศาสนาฮินดูจากคนหรือสื่อรอบข้าง (ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้ที่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวจากความรู้ความเข้าใจของตนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ต่างก็เป็นหนึ่งในคนตาบอดคลำช้างพอ ๆ กับเรา) แต่ไม่ว่าจะขานด้วยนามไหน... “ปรมาตมัน,” “the Source,”  “Pure Consciousness,” “Heavenly Father” “พระเจ้า” “พระผู้เป็นเจ้า” “นิพพาน” หรือ “พระพุทธเจ้า” ฯลฯ มีนัยขึ้นอยู่ที่กำลังหมายถึงพลังบริสุทธิ์นั้น ๆ ที่มีคุณสมบัติที่สูงส่งเฉพาะเป็นอย่างไร  ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่มีชื่อเรียกว่าอะไร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่พึงระลึกอยู่เสมอว่า ในเมื่อพลังสูงสุดนั้น ๆ เป็นสิ่งเหนือโลก เหนือความเข้าถึงของเรา ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ในความเข้าใจของเราว่า สิ่งนั้น ๆ ที่มนุษย์เราต่างมีชื่อเรียกที่ต่าง ๆ กันไปหลายชื่อหลายนาม มีคุณสมบัติแห่งความเป็นพลังบริสุทธิ์ ความเป็นพลังสูงสุด หรือความเป็นนิพพานอย่างไร เรามีข้อมูลความรู้อย่างไร เรามีความเข้าใจอย่างไร ในจินตนาการของเราเป็นอย่างไร ถูกต้องใหล้เคียงเพียงใด เป็นสิ่งบ่งบอกความเข้าถึงมากน้อยเพียงใดต่างหาก ดั่งเช่น รสชาติของเป๊ปซี่ในจินตนาการของคนที่เกิดมายังไม่เคยลิ้มรสเลย  ดังนั้นการมีประสบการณ์ และความรู้ที่เพียงพอมากเท่าไร จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเข้าถึงได้ถูกต้องมากน้อยเพียงนั้น เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องของปัจเจกชน

คำว่า “นิพพาน คือ สุญญตา” ไม่ได้แปลว่า เราตายแล้วต้องหายไปเลย หรือ เมื่อเราบรรลุนิพพานแล้วทุกอย่างจะสูญหายไปหมด เพราะสสารและพลังงานย่อมไม่หายไปไหนเพียงแต่เปลี่ยนสถานภาพหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของสภาวธรรม ในความเข้าใจของพี่แก้มแหม่ม “ข้อเท็จจริงนี้” มีความหมายว่า ตัวตนของเราต่างหากที่หายไป ตัวตนของเรารวมถึงสิ่งต่าง ๆที่เป็นผลลัพธ์จากขันธ์ 5 ต่างหากที่เป็นสุญญตา  เมื่อใดที่เรามีสติที่ทรงพลังพอที่จะรู้เท่าทันความเป็นไปและการทำงานของขันธ์ 5 เราถึงจะเห็นธรรมชาติของกฎแห่งไตรลักษณ์ ถึงความอนัจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่แฝงอยู่ในทุกกลไกของขันธ์ 5 แห่งโลกบัญญัติ  จะเห็นเท่าทันในความเป็นจริงที่ทั้งหมดในโลกบัญญัตินี้ไม่มีอะไรที่มีแก่นสารที่ใครจะพึงยึดติดได้ เพราะไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ตราบใดที่ยังมีการยึดติดในสิ่งที่ไม่มีอะไรที่ใครจะยึดติดหรือบังคับบงการได้ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) สุดท้ายแล้วไม่เร็วหรือช้า ทุกอย่าง ย่อมนำไปสู่ความทุกข์

หลาย ๆ ส่วนในภควัตคีตา จะพูดถึง detachment หรือการปล่อยวาง เพราะจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งเกิดจากการกระทำ การที่เรายังติดอยู่ในโลกเพราะเราไปยึดถือผลของกรรม ทำให้เราติดหนี้กรรม คำว่า ยึดติด หรือ attachment มี 2 ระดับ คือยึดติดกับผลลัพธ์ และยึดติดกับผลจากการกระทำ การยึดติดกับผลลัพธ์ของงานว่าต้องออกมาในแบบที่เราคิดหรือคาดหวัง มีความเสี่ยงทำให้เกิดทุกข์  เพราะเป็นสิ่งที่เราจะไปควบคุมไม่ได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ทุกอย่างย่อมต้องเป็นไปตามเหตุ-ปัจจัย ในขณะของการกระทำ เราควบคุมได้แค่เจตนารมณ์ในการลงมือกระทำ แต่เราไม่สามารถ control(ควบคุม) สภาพแวดล้อม ธรรมชาติ และเหตุปัจจัยอื่น ๆ รวมถึงการบงการของจิตใต้สำนึกจองเราเอง จึงไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ของการกระทำให้ได้อย่างใจคิด 100 เปอร์เซ็นต์ ประโยชน์สูงสุดในการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้จะได้จากการที่สามารถชำระล้างจิตใต้สำนึกในสัญญาให้เก็บแต่ข้อมูลซึ่งทรงพลัง และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อเป็นเหตุปัจจัยที่ดีงามแด่วินาทีต่อไปของชีวิต เราไม่สามารถไปแก้ไขอดีตได้ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่กำหนดไว้แล้วจากทุกวินาทีในอดีตของแต่ละคน แต่เราเริ่มต้นสร้างและซ่อมแซมทางเดินของวินาทีต่อ ๆ ไปของชีวิตที่เหลืออยู่ได้ ด้วยการมีสติในการสั่งสมแต่ข้อมูลที่ทรงพลังเป็นคุณประโยชน์ต่อชีวิตให้ตนเองได้

เหตุ-ปัจจัย ล้วนเป็นสิ่งที่เราสะสมมาแต่อดีต จึงไม่ได้อยู่ในมือเรา เราเพียงได้แต่ทำดีที่สุดโดยไม่ต้องคาดหวังหรือให้ความสำคัญว่า “ผลลัพธ์ของงาน” ต้องเป็นไปตามที่คาดไว้ และ “ผลของงานของเรา”ต้องได้รับคำชมชอบ ต้องมีคนมองเห็น เพราะว่าฉันดี ฉันเก่ง กรรมการต้องเห็น ต้องให้รางวัล หรือเธอต้องสำนึกบุญคุณที่ฉันอุตส่าห์มาช่วยเธอ ทั้งผลลัพธ์ กับ ผล ถ้าเราเรียนรู้ที่จะปล่อยวางจากมัน นั่นแหละคือสภาวะเข้าสู่นิพพานที่แท้จริง เราสร้างตัวตนมาเพื่อให้รับใช้เรา แต่ถ้าเรายึดติดกับผลของการกระทำ เราจะกลับกลายเป็นทาสของตัวตนทันที

คุณโอ๋ : ความเชื่อ ความศรัทธา ในความดีงาม เป็นสภาวะ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ เช่นเดียวกับคุณสมบัติของกุหลาบ คนที่ชอบเพราะคุณสมบัติของดอกกุหลาบ ไม่ใช่เพราะ ชื่อเรียกว่า ดอกกุหลาบ

เจี๊ยบ : เรารู้อยู่แล้วว่าในโลกบัญญัติ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่ากังวลอย่างไร ให้เราวางใจได้

พี่แก้มแหม่ม : ทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่ลิขิตไว้แล้วจากอดีต  เราต้องวางใจกับผลลัพธ์ โดยการตั้งใจและมุ่งมั่น ทำให้ดีที่สุดก็พอ ยกตัวอย่างคนที่ขึ้นไปประกวดนางสาวไทย เราก็อยากได้เป็นที่หนึ่ง ผู้ประกวดแต่ละคนย่อมจะพยายามทำทุกอย่างอย่างทุ่มเทให้ดีที่สุด ทำได้ดีเพียงใด ด้วยความตื่นเต้นหรืออาจเจอคำถามที่ไม่ถนัด คำตอบของเราไม่ถูกใจผู้ชมและกรรมการ หรือเกิดเดินสะดุดเวที หรือดวงดี ทำอะไรก็น่ารักไปหมด นี่เป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่ง และผลของการกระทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาการให้คะแนนของคณะกรรมการฯ  เมื่อเรารู้แล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ดังนั้นหน้าที่เราคือ ทำให้ดีที่สุด แต่เราก็พึงรู้ว่า คำว่า ทำให้ดีที่สุดของวันนี้ กับเมื่อวาน ก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาวะและความพร้อมในแต่ละขณะ

ถ้าเรายังจำกันได้ เรื่อง 6 Basic Human Needs ของ โทนี่ ร็อบบินส์ ที่กล่าวไว้ว่ามนุษย์เรามีความปรารถนา 6 ประการ มันฝังอยู่ในยีนส์ของเรา บางคนให้ความสำคัญกับการได้ช่วยเหลือคน บางคนให้ความสำคัญกับการเติบโต และหลายคนติดกับเรื่องของ significant คือ ต้องได้รับความสำคัญ ต้องได้เป็นคนสำคัญ เป็นจุดสนใจของสายตา ฯลฯ  สารโดพามีนถึงจะหลั่ง บางคนที่ขาดความรัก ก็ให้ความสำคัญกับความรัก บางคนต้องมีแฟน ถึงจะส่อว่าตนเป็นคนมีค่า  แหล่งกำเนิดโดพามีน คือ เรื่องความรัก บางคนต้องการความมั่นคงในชีวิต แหล่งกำเนิดโดพามีนคือการประสพความสำเร็จในหน้าที่การงานที่มั่นคง ฯลฯ ทุกคนมี 6 ข้อนี้ด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าข้อไหนเป็นข้อสำคัญ ข้อนั้นจะเป็นแหล่งโดพามีนที่สำคัญของคน ๆ นั้น เมื่อเรารู้แล้ว ก็ย้ายแหล่งโดพามิน ไปสู่ที่ที่ทำให้เรามีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน (หากแหล่งกำเนิดโดพามีนใดอยู่ในแวดวงเครือข่ายของโลกธรรม 8 ย่อมนำมาซึ่งความสมหวังสลับกับความผิดหวังอยู่เนือง ๆ)  แหล่งกำเนิดที่ดีที่ทรงพลังที่สุด คือ แหล่งโดพามีนจากการมุ่งหมายความเจริญก้าวหน้า และการได้มีคุณูปการหรือการได้ช่วยเหลือคนอื่น อย่างไรก็ตาม ในการช่วยเหลือนี้เอง ก็ยังมีอีกหลายระดับ เช่น เห็นคนอดข้าว เราให้ข้าวกิน ก็ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราสอนให้คนจับปลาได้ เขาไม่ต้องรอข้าวจากเรา แต่เขาสามารถหากินเองได้ มันก็เป็นคุณูปการที่ทรงพลังมากขึ้น การให้ปัญญาเป็นทาน ก็ยังมีคุณค่ากว่าให้วัตถุเป็นทาน ถ้าเราไม่คาดหวังกับการช่วยเหลือเสียแล้ว ทุกอย่างเราสามารถชื่นชม แล้วปล่อยวาง ไม่ผูกยึดต่อผลของการกระทำ มันก็จบที่ตรงนั้น

พี่แก้มแหม่มเคยให้กำลังใจนักศึกษาคนหนึ่ง ที่กำลังถอดใจทั้งเครียดทั้งฟุ้งซ่านกับการสอบที่ต้องไปเล่นเปียโน ต่อหน้าคณะกรรมการที่จะวิพากษ์วิจารณ์คุณภาพของ Performance เปียโน ได้ให้กำลังใจว่า ไม่ว่าเราจะเล่นดีแค่ไหน กรรมการก็คอยมาจับผิดอยู่ดี แต่สิ่งสำคัญ คือ หลานต้องภูมิใจในตนเอง และชื่นชมตัวเองให้ได้ ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว แล้วถ้าเราชื่นชมสิ่งใด ๆ จักรวาลก็จะชื่นชมเรากลับมา นี่คือเคล็ดลับของจักรวาล โดพามีนที่จะเกิดจากความภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องไปขึ้นอยู่กับคำวิจารณ์ของคนอื่น เพียงได้ตั้งใจมุ่งมั่นจะทำให้ดีที่สุดที่จะพึงทำได้ เราก็มีความภูมใจในตัวเองแล้ว ร่างกายจะสามารถหลั่งโดพามีนเป็นรางวัลให้โดยทันทีที่เราเป็นเพื่อน เป็นนายที่ดีแก่ตนเอง ให้คำขอบคุณแก่ตนเองได้ โดยไม่ต้องรอความชื่นชมจากผู้อื่น อย่างที่ปุถุชนทั่วไปคุ้นเคย เพียงได้ข้อคิดนี้ นักศึกษาผู้นั้นก็สามารถก้าวผ่านความท้าทายนั้นได้อย่างงดงาม

คำตอบในเรื่องจิตตกอันเนื่องมาจากความกังวลใจต่อข่าวคราวเรื่องเผาจริงเผาหลอกที่กำลังอาจเกิดขึ้นในเหตุการณ์บ้านเมือง:  มีเรื่องเล่าว่าในเมืองจีน  มีคหบดีท่านหนึ่ง อยู่ ๆ บริวารของท่านก็ล่าม้าป่ามาได้ 1 ฝูง ในฝูงนั้นก็มีม้าป่าจ่าฝูงที่งดงามปราดเปรียวมีกำลังสุดยอดมาก ผู้คนต่างพากันมาแสดงความยินดี ท่านก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เมื่อถูกถาม ท่านก็ตอบว่า “ไม่มีใครรู้หรอก ...ของดีที่ได้มา ก็อาจเป็นทุกขลาภก็ได้นะ” ปรากฎว่า ลูกชายท่านรักและชอบขี่ม้าตัวนี้มาก และในปีนั้นเอง ก็เกิดอุบัติเหตุ ในขณะกำลังขี่ม้าอย่างผาดโผน ตกลงจากม้าขาหัก ผู้คนทราบข่าวก็พากันมาแสดงความเสียใจต่อท่าน  ก็พบว่าท่านไม่ได้มีความเสียอกเสียใจแต่อย่างใด เมื่อถูกถาม ท่านก็ตอบว่า “ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้” ปีต่อมาประเทศจีนต้องทำสงครามกับผู้บุกรุก  หนุ่ม ๆ ทุกคนต้อง ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารหมด ยกเว้นลูกชายท่านไม่ต้องไปเพราะขาหัก นี่เป็นตัวอย่างที่ให้เราเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้คิดว่ามันดีเสมอ

การสวดภควัทคีตา ด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่คาดหวัง ไม่โลภ เพื่อให้เรา เกิดการเชื่อมต่อ กับจักรวาลได้ แล้วเราก็ไปดูว่า 6 basic needs ของเรา ข้อไหนควรจะเป็นแหล่งโดพามีนที่ดีที่มีความสำคัญที่สุด ก็เลือกไปวางความสำคัญในจุดที่ทรงประโยชน์กว่า เราไม่จำเป็นต้องทำตามสัญชาติญาณเดิมของเราเสมอไป เราสามารถเลือกได้ว่าจะวางความสำคัญในการทำอะไร แล้วกระตุ้นให้สมองของเราสร้างมีโดพามีน ให้เราเกิดความพีงพอใจ เมื่อใจเราเปิด จักรวาลท่านจะดูแลเรา ให้เชื่อเลยว่าท่านมีอยู่จริง ท่านอยู่ใกล้เรา ท่านคอยดูแลและอำนวยความสุข ความสำราญที่เป็นไปเพื่อการเจริญก้าวหน้าทางจิตวิญญาณให้เรา ไม่ว่าจะเรียกว่าชื่ออะไรก็ตาม ท่านอยู่ที่สภาวะนั้น ๆ หากเราจะเรียกท่านว่าพระแม่กวนอิมก็ย่อมได้

เมื่อเราทำสิ่งใดก็ถวายทุกอย่างให้กับท่าน แล้วท่านจะดูแลเราเอง การตั้งจิตอธิษฐาน ไม่ต้องไปขอเงิน เรามีปัญญา เรามี power กฎของจักรวาล คือ ยิ่งคิดอะไร ก็จะได้เจออย่างนั้น ดังนั้น เราต้องระวังจิตใจให้ดี คิดแต่เรื่องบวกที่นำมาซึ่งประโยขน์ต่อการเจริญก้าวหน้าที่แท้จริง ไม่ให้คิดลบ หรือจดจ่อกับปัญหาลบ นึกในใจมีความสุขกับการมีสิ่งอะไรที่แอบอยากได้ โดยให้เรานำจิตใจจดจ่อไว้ที่พระกฤษณะ และสวด Geeta Path อย่างสม่ำเสมอ เพื่อการชำระล้างข้อมูลอันไม่พึงปรารถนาที่สะสมอยู่ในสัญญาขันธ์ และเสริมสร้างให้สัญญาขันธ์อุดมสมบูรณ์ด้วยข้อมูลที่ทรงพลังต่อการมีอยู่และเป็นอยู่ของตนเอง

ถ้าเราแบ่งการมองสิ่งต่าง ๆ ในสองระดับ เราเองเป็นหนึ่งของเหตุปัจจัยที่เราสั่งสมมาในจิตใต้สำนึก แต่หน้าที่ของเราให้รู้เท่าทันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเพื่อให้แต่ละคนได้บทเรียนนั้น ๆ ด้วยตัวเอง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มันถูกกำหนดไว้แล้ว หน้าที่ของเราต้องเอาตัวเราให้รอด ด้วยการเป็นแสงเทียนหนึ่งที่ทำให้โลกสว่างขึ้น แต่ถ้าเราเอาเทียนไปจิ้มน้ำเน่า เทียนของเราก็จะต้องดับไป เรามีหน้าที่ดูแลตัวเองให้สว่าง เพราะลำพังเราไม่สามารถหยุดสงครามโลกหรือสงครามใด ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น  ไม่ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3-4 มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เราย่อมเห็นแล้วว่า ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1-2 เป็นยุคสมัยที่มีการปฏิวัติอุสาหกรรมที่มนุษย์โลกกำลังติดจมอยู่ในวัตถุเป็นค่านิยมอย่างมากก่อน  สภาวะจากสงครามทำให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 & 2 กลายเป็นเหตุปัจจัยสำคัญให้ชาวตะวันตกเปิดใจ ให้ปรัชญาแห่งโลกตะวันออกไปเบ่งบานที่อเมริกา รวมถึงประเทศในยุโรป เพราะว่ามนุษย์เมื่อมีความทุกข์มาก ก็จะเปิดใจค้นหาหนทางออกจากทุกข์ หน้าที่เราคือพยายามเห็นความงามของโลกให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพื่อเป็นแสงเทียนหนึ่งร่วมด้วยช่วยกันในความสว่างไสวของโลกเรา

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้